จำนวนชิ้น | ส่วนลดต่อชิ้น | ราคาสุทธิต่อชิ้น |
{{(typeof focus_pdata.price_list[idx+1] == 'undefined')?('≥ '+price_row.min_quantity):((price_row.min_quantity < (focus_pdata.price_list[idx+1].min_quantity - 1))?(price_row.min_quantity+' - '+(focus_pdata.price_list[idx+1].min_quantity - 1)):price_row.min_quantity)}} | {{number_format(((focus_pdata.price_old === null)?focus_pdata.price:focus_pdata.price_old) - price_row.price,2)}} บาท | {{number_format(price_row.price,2)}} บาท |
คงเหลือ | ชิ้น |
จำนวน (ชิ้น) |
- +
|
ซื้อเลย หยิบลงตะกร้า ซื้อเลย หยิบลงตะกร้า คุณมีสินค้าชิ้นนี้ในตะกร้า 0 ชิ้น
|
|
|
|
คุยกับร้านค้า | |
{{ size_chart_name }} |
|
หมวดหมู่ | รูปเหมือนพระวิปัสจารย์ เกจิคณาจาย์ |
สภาพ | สินค้าใหม่ |
เพิ่มเติม | |
สภาพ | สินค้ามือสอง |
เกรด | |
สถานะสินค้า | |
ระยะเวลาจัดเตรียมสินค้า | |
เข้าร่วมโปรโมชั่น | |
ไฮไลท์ |
พระรูปเหมือน สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ขนาดหน้าตัก 3.5 นิ้ว จัดสร้างด้วยเนื้อสัมฤทธิ์นอก
|
ข้อมูล |
น้ำหนัก
บาร์โค้ด
ลงสินค้า
อัพเดทล่าสุด
|
รายละเอียดสินค้า |
ประวัติ " หลวงปู่แว่น ธนปาโล " ศิษย์เอกอีกองค์หนึ่งของ "หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต" ที่มีกิจวัตรงดงาม น่าเลื่อมใส พระอาจารย์แว่นในสมัยเป็นสามเณรได้ติดตามหลวงปู่สิม พุทธาจาโร (ลูกผู้พี่เป็นญาติใกล้ชิดในตระกูล) ได้เห็นจริยวัตรต่างๆ ที่สวยสดงดงาม ของหลวงปู่สิม เกิดความเลื่อมใสศรัทธา เป็นอย่างมาก พออายุครบบวช ได้อุปสมบทที่วัดศรีเทพประดิษฐาราม และได้ศึกษาพระธรรมและได้รับการถ่ายทอดวิชาวิปัสนากรรมฐาน จาก หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต และ หลวงปู่เทศก์ เทสรังษี อาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสนา จนมีตบะบารมีอันแก่กล้า ประกอบกับจริยานิสัยอันงดงาม มีความเชื่อมั่น กตัญญูรู้คุณต่อครูบาอาจารย์ มีความอ่อนน้อมเจียมตนอยู่เป็นนิจ ปฏิปทาอันน่านิยมนี้ทำให้ผู้คนต่างเลื่อมใสศรัทธาในตัวท่านเป็นอย่างมาก แต่ท่านก็ยังคงเป็นพระสงฆ์ที่รักความสันโดษ เก็บตัวเงียบ มุ่งหวังความหลุดพ้น จากทุกข์ทั้งปวงภายในชาตินี้ แต่ท่านก็ยังได้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดป่าสุทธาวาสอยู่ 6 ปี จึงได้ไปเป็นเจ้าอาวาสวัดถ้ำพระสบาย อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง กระทั่งมรณภาพ
ประวัติวัดถ้ำพระสบาย เริ่มจากหลวงปู่แว่น ธนปาโล ได้อยู่พักจำพรรษาที่วัดป่าสำราญนิวาส ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๐ และได้นิมิตฝันบ่อยครั้งว่า ได้ไปเที่ยวจนถึงดอยแห่งหนึ่งที่กลางป่า หนทางที่ไปก็ต้องข้ามน้ำไปแล้วเดินขึ้นดอยไป พอถึงดอยก็ได้พบว่ามีถ้ำอยู่หลายแห่ง ทั้งถ้ำเล็กและถ้ำใหญ่ ดอยแห่งนี้ท่านได้ไปเห็นในนิมิตอยู่หลายครั้ง บางคืนฝันว่า ได้เหาะลอยไปจนถึงดอยนั้น โดยห่มผ้าจีวรติดตัวไปหลายผืน พอไปถึงดอยนั้นและได้ลงเดินยังพื้นดิน ก็ได้มีพระเณรหลายองค์มาขอเปลื้องสบงจีวรและสังฆาฏิจากตัวท่านไปจนหมด ทั้งในบริเวณนั้นยังมีหนุ่มสาวพากันเดินไปเป็นหมู่ๆ ท่านก็ได้แต่สงสัยในนิมิตนั้นว่า คงจะมีความหมายอะไรสักอย่าง คืนวันหนึ่งขณะที่หลวงปู่สิมและหลวงปู่แว่นพากันนั่งสมาธิปฏิบัติธรรมตามปกติ ทั้งสององค์ก็ได้พบกับดวงจิตวิญญาณของ เจ้าแม่ทิพย์วรรณ ณ เชียงตุง (ซึ่งเป็นโยมอุปัฏฐากที่เชียงใหม่แต่ได้สิ้นบุญไปก่อนหน้านั้นเล็กน้อย) ได้มายืนร้องเรียกขออาราธนาอยู่ตรงลานหน้าพระเจดีย์ในเขตวัดหลวงว่า 'ดิฉันต้องการพระที่นุ่งผ้าดำนะ พระที่นุ่งผ้าเหลืองไม่เอา ขอให้ไปโปรดที่ถ้ำแกเก๊าด้วย' ตามความหมายก็คือ วิญญาณเจ้าแม่ต้องการนิมนต์พระกรรมฐานไปโปรดพวกเขาที่ถ้ำแกเก๊าหรือถ้ำพระสบายในปัจจุบัน แต่ไม่ต้องการพระมหานิกายซึ่งนุ่งห่มผ้าสีเหลือง (ตอนนั้นหลวงปู่แว่นท่านนุ่งห่มผ้าสีรักแก่ออกดำ) เมื่อหลวงปู่แว่นเดินทางมาถึง จังหวัดลำปาง ท่านก็ได้กลับไปดูแลจำพรรษาวัดป่าสำราญนิวาส อีกระยะหนึ่ง ครั้นพออกพรรษา พวกศรัทธาบ้านนาคต อำเภอแม่ทะ หลวงปู่แว่นได้ปรารภกับชาวบ้าน ถึงเรื่องถ้ำต่างๆ บนดอยแถวนี้ ซึ่งก็ได้ทราบว่านอกจากจะมีถ้ำแกเก๊า อันเป็นถ้ำใหญ่แล้วก็ยังมีถ้ำใหญ่น้อยอื่นๆอีกหลายถ้ำ จึงได้ขอให้ชาวบ้านที่รู้จักทางพาไปดู ในคืนต่อ ๆ มาก็ได้ก็เปลี่ยนมาพักที่ถ้ำแกเก๊าเป็นส่วนใหญ่ จนได้ติดป้ายชื่อที่หน้าถ้ำว่า ถ้ำสบาย ระหว่างที่กำลังปรับปรุงถ้ำแห่งนี้หลวงปู่แว่น ก็ต้องกลับไปดูแลวัดป่าสำราญนิวาส จึงต้องเดินทางไปๆมาๆ ระหว่างสถานที่ทั้งสองอยู่บ่อยๆ หนทางไปมาก็ยังไม่สะดวกต้องเดินทางด้วยเท้าเป็นระยะทางกว่ายี่สิบกิโลเมตรในครั้งนั้นพระหลวง กตปุญโญ ก็ได้ไปช่วยปรับปรุงสร้างที่พักสงฆ์ด้วย ได้อยู่ช่วยงานอย่างเต็มกำลัง ต่อมาวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๔๙๑ หลวงปู่สิม พุทธาจาโร ได้เดินทางจากวัดสันติธรรมเพื่อเดินทางมาเยี่ยมหลวงปู่แว่นที่ถ้ำพระสบาย พอเจอหน้ากันหลวงปู่สิมก็ยิ้มและทักขึ้นว่า “ยังไงปักธงหลอกใครล่ะ” พูดพลางหันไปมองป้ายชื่อถ้ำแล้วหัวเราะ จากนั้นก็หันมาถามหลวงปูแว่นว่า “ที่ว่าสบายน่ะ ใครสบาย” หลวงปู่แว่นท่านก็หัวเราะอย่างรู้ทีแล้วตอบไปว่า “ก็พระนะซิที่สบาย” หลวงปู่สิมท่านก็ว่า “พระสบายก็บอกว่าพระสบายสิ” จากนั้นเองหลวงปู่แว่นท่านจึงได้เปลี่ยนชื่อถ้ำเสียใหม่ว่า “ถ้ำพระสบาย” ตั้งแต่นั้นมา โดยปากทางเข้าถ้ำและภายในถ้ำมีแสงส่าง มีระบบไฟฟ้า สามารถปิด - เปิดด้านล่างและในถ้ำได้ และบนยอดเขาวัดถ้ำพระสบาย พระเจดีย์นั้นสร้างตั้งแต่สมัยท่านปู่แว่นและท่านพ่อลี ได้พิจารณาเห็นว่าสถานที่แห่งนี้มีลำแสงปรกฏพุ่งขึ้นสูง ไฟแสงสว่างในวันข้างขึ้นข้างแรม ๘ ค่ำ และข้างเจดีย์นั้นมีช้างหมอบ ซึ่งปรับปรุงจัดลานไม้ประดับ มีสระน้ำที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติโดยมีปลา และบูรณะปรับปรุงเพื่อให้ญาติโยมได้สักการบูชา ภายในบริเวณวัดถ้ำพระสบายนั้นอากาศดีมาก และร่มรื่นน่าเข้าไปเที่ยวเยี่ยมชมและมีประเพณีวันสำคัญ ทุกวันที่ ๒๐ เมษายน ของทุกปี จะมีการรดน้ำพระเจดีย์และสรงน้ำพระพุทธรูป |
เงื่อนไขอื่นๆ |
|
Tags |