จำนวนชิ้น | ส่วนลดต่อชิ้น | ราคาสุทธิต่อชิ้น |
{{(typeof focus_pdata.price_list[idx+1] == 'undefined')?('≥ '+price_row.min_quantity):((price_row.min_quantity < (focus_pdata.price_list[idx+1].min_quantity - 1))?(price_row.min_quantity+' - '+(focus_pdata.price_list[idx+1].min_quantity - 1)):price_row.min_quantity)}} | {{number_format(((focus_pdata.price_old === null)?focus_pdata.price:focus_pdata.price_old) - price_row.price,2)}} บาท | {{number_format(price_row.price,2)}} บาท |
คงเหลือ | ชิ้น |
จำนวน (ชิ้น) |
- +
|
ซื้อเลย หยิบลงตะกร้า ซื้อเลย หยิบลงตะกร้า คุณมีสินค้าชิ้นนี้ในตะกร้า 0 ชิ้น
|
|
|
|
คุยกับร้านค้า | |
{{ size_chart_name }} |
|
หมวดหมู่ | เหรียญ |
สภาพ | สินค้าใหม่ |
เพิ่มเติม | |
สภาพ | สินค้ามือสอง |
เกรด | |
สถานะสินค้า | |
ระยะเวลาจัดเตรียมสินค้า | |
เข้าร่วมโปรโมชั่น | |
ไฮไลท์ |
🙏🏻🙏🏻🙏🏻เหรียญบาตรน้ำมนต์ ปี 2514🙏🏻🙏🏻🙏🏻
((((((กล่องครบถ้วน))))))
🔹🔹เหรียญบาตรน้ำมนต์ พระรูปเหมือน สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ และกรมพระยาวชิรญาณวโรรส ขนาด 7 ซ.ม. วัดบวรนิเวศวิหาร จัดสร้างวาระครบ 50 ปี สิ้นพระชนม์ฯ 2 สิงหาคม 2514 มาพร้อมกล่องครบถ้วน งามและทรงคุณค่าสุดๆ ครับ
🔹🔹ในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จในพิธี ณ วัดบวรนิเวศวิหาร พระเกจิคณาจารย์ และวิปัสสนาจารย์ ทั่วประเทศ ร่วมพิธี ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อ 2 สิงหาคม 2514
🔹🔹งามและหายากสุดๆ ครับ
🙏🏻🙏🏻🙏🏻
|
ข้อมูล |
น้ำหนัก
บาร์โค้ด
ลงสินค้า
อัพเดทล่าสุด
|
รายละเอียดสินค้า |
🙏🏻🙏🏻🙏🏻เหรียญบาตรน้ำมนต์ ปี 2514🙏🏻🙏🏻🙏🏻
((((((กล่องครบถ้วน))))))
🔹🔹เหรียญบาตรน้ำมนต์ พระรูปเหมือน สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ และกรมพระยาวชิรญาณวโรรส ขนาด 7 ซ.ม. วัดบวรนิเวศวิหาร จัดสร้างวาระครบ 50 ปี สิ้นพระชนม์ฯ 2 สิงหาคม 2514 มาพร้อมกล่องครบถ้วน งามและทรงคุณค่าสุดๆ ครับ
🔹🔹ในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จในพิธี ณ วัดบวรนิเวศวิหาร พระเกจิคณาจารย์ และวิปัสสนาจารย์ ทั่วประเทศ ร่วมพิธี ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อ 2 สิงหาคม 2514
🔹🔹งามและหายากสุดๆ ครับ
🙏🏻🙏🏻🙏🏻 ประวัติ
สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ พระองค์นั้น ทรงเป็นองค์ประมุขแห่งคณะสงฆ์ไทย ผู้พลิกโฉมการศึกษาคณะสงฆ์ไทย ให้เป็นที่ยอมรับมาจนถึงปัจจุบัน องค์ผู้ทรงพระนิพนธ์เรียบเรียง หนังสือพระวินัยมุขเล่มที่ 1-2-3 ซึ่งเป็นหนังสือหลักในการปฏิบัติของพระสงฆ์ ผู้ทรงเรียบเรียงและพระนิพนธ์หนังสือบาลีชั้น ประโยค 1-2 ถึง เปรียญธรรม 9 ประโยคฯลฯ อีกมายมาย
จึงนับว่าพระองค์ทรงเป็นที่สุดแห่งวงการศึกษาของคณะสงฆ์ไทย .....และยังทรงเป็นผู้นำในการพัฒนาการศึกษาของประเทศไทยในยุคแรก ๆ ในรัชสมัยของรัชกาลที่ 5 และอื่น ๆ อีกมากมายนับไม่ถ้วน และทรงเป็นอดีตเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร รูปที่ 3 ต่อจากสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเวศ ทรงเป็นพระราชโอรสของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4
ในวาระที่พระองค์ได้สิ้นพระชนม์ไปครบ 50 ปี เมื่อ พ.ศ. 2514 คณะสงฆ์ทั่วประเทศไทย ทั้งมหานิกายและคณะธรรมยุต นำโดยมหาเถรสมาคม จึงได้จัดงานเพื่อรำลึกถึงพระคุณูประการของพระองค์ จึงได้จัดงาน "มหาสมณานุสรณ์ 50 ปี" ณ พระตำหนักเพ็ชร และบริเวณวัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ.2514
พระองค์ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 กับเจ้าจอมมารดาแพ ประสูติเมื่อวันพฤหัสบดี เดือน 5 แรม 7 ค่ำ ปีวอก จ.ศ.1221 ตรงกับวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2403
เมื่อวันประสูตินั้นเกิดฝนตกใหญ่ พระบรมชนกนาถจึงทรงถือเป็นมงคลนิมิต พระราชทานนามว่า พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้ามนุษยนาคมานพ
หลังจากประสูติได้เพียงปีเดียว เจ้าจอมมารดาของพระองค์ก็ถึงแก่กรรม พระองค์จึงทรงอยู่ในความเลี้ยงดูของพระองค์เจ้าบุตรี พระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นพระญาติมีศักดิ์เป็นพระมาตุจฉา เมื่อทรงเจริญวัยทรงพระดำเนินได้ รับสั่งได้คล่องแคล่ว จึงเสด็จพำนักอยู่กับท้าวทรงกันดาล (ศรี) ซึ่งเป็นยายแท้ๆ
เมื่อพระชันษาได้ 8 ปี ทรงเริ่มศึกษาภาษาบาลี จนสามารถแปลธรรมบทได้ก่อนผนวชเป็นสามเณร
นอกจากนี้ ยังทรงศึกษาภาษาอังกฤษและโหราศาสตร์อีกด้วย
ถึงปี พ.ศ.2416 เมื่อพระชันษาได้ 13 ปี ได้ผนวชเป็นสามเณร โดยมีสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ทรงเป็นพระอุปัชฌาย์ และหม่อมเจ้าพระธรรมมุณหิศธาดา (สีขเรศ วุฑฺฒิสฺสโร) ทรงเป็นผู้ประทานศีล 10
หลังจากทรงบรรพชาแล้วได้ประทับอยู่ที่วัดบวรนิเวศวิหาร ประมาณ 2 เดือน จึงทรงลาผนวช
ครั้นครบปีบวชในพระชันษา 20 ปี ได้ทรงอุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ.2422 ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยมีสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ทรงเป็นพระอุปัชฌายาจารย์ และพระจันทรโคจรคุณ (ยิ้ม จนฺทรํสี) วัดมกุฏกษัตริยาราม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ประทับจำพรรษา ณ วัดบวรนิเวศวิหาร อยู่ 1 พรรษา จึงย้ายไปประทับที่วัดมกุฏกษัตริยาราม เพื่อศึกษาข้อวัตรปฏิบัติของพระจันทรโคจรคุณ ผู้เป็นพระอาจารย์
ในระหว่างนั้นได้ทรงทำทัฬหีกรรมที่วัดราชาธิวาส โดยมีพระจันทรโคจรคุณ (ยิ้ม จนฺทรํสี) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระมหาเดช ฐานจาโร วัดโสมนัสวิหาร เป็นพระกรรมวาจาจารย์
เมื่อผนวชได้ 3 พรรษา ทรงเข้าแปลพระปริยัติธรรมหน้าพระที่นั่ง ทรงแปลได้เป็นเปรียญธรรม 5 ประโยค จากนั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสถาปนาพระอิสริยยศเป็น พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นวชิรญาณวโรรส
และเป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรองในธรรมยุติกนิกาย เมื่อปี พ.ศ.2424
พระองค์ได้ครองวัดบวรนิเวศวิหาร สืบต่อจากสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศฯ เมื่อปี พ.ศ.2434 และในปี พ.ศ.2436 ได้รับโปรดเกล้าฯ สถาปนาพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระราชาคณะเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต มีราชทินนามว่า พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นวชิรญาณวโรรส สุนทรพรตวิสุทธิพรหมจรรย์ วิมลศีลขันธ์วรธรรมยุตติ์ ศรีวิสุทธิคณะนายก สาสนดิลกธรรมานุวาทย์ บริสัษยนารถสมณุดมบรมบพิตร
ลำดับพระอิสริยยศ
พ.ศ.2403 พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้ามนุษยนาคมานพ
พ.ศ.2424 พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นวชิรญาณวโรรส
พ.ศ.2436 พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นวชิรญาณวโรรส สุนทรพรตวิสุทธิพรหมจรรย์ วิมลศีลขันธ์วรธรรมยุตติ์ ศรีวิสุทธิคณะนายก สาสนดิลกธรรมานุวาทย์ บริสัษยนารถสมณุดมบรมบพิตร
พ.ศ.2449 พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงวชิรญาณวโรรส สุนทรพรตวิสุทธิพรหมจรรย์ วิมลศีลขันธ์ธรรมวรยุต ศรีวิสุทธิคณนายก สาสนดิลกธรรมานุวาทย์ บริสัษยนารถสมณุดมบรมบพิตร
พ.ศ.2453 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ศรีสุคตขัตติยพรหมจารี สรรเพชญรังศีกัลยาณวากย์ มนุษยนาคอเนญชาริยวงษ์ บรมพงศาธิบดี จักรีบรมนาถประนับดา มหามกุฏกษัตรราชวรางกูร จุฬาลงกรณ์ปรมินทรสูรครุฐานิยภาดา วชิราวุธมหาราชหิโตปัธยาจารย์ ศุภศีลสารมหาวิมลมงคลธรรมเจดีย์ สุตพุทธมหากวี ตรีปิฏกาทิโกศล เบญจปฎลเศวตฉัตร ศิริรัตโนปลักษณมหาสมณุตมาภิเษกาภิษิต วิชิตมารสราพกธรรมเสนาบดี อมรโกษินทรโมลีมหาสงฆปรินายก พุทธศาสนดิลกโลกุตมมหาบัณฑิตย์ สิทธรรถนานานิรุกติประติภาน มโหฬารเมตตาภิธยาศรัย พุทธาทิรัตนตรัยสรณารักษ์ เอกอัครมหาอนาคาริยรัตน์ สยามาธิปัตยพุทธบริษัทเนตร สมณคณินทราธิเบศสกลพุทธจักรกฤตโยปการ มหาปาโมกขประธานสถาวีรวโรดม บรมนาถบพิตร
พ.ศ.2454 สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
พระองค์ทรงจัดการศึกษาพระปริยัติธรรมในภาษาไทย เป็นนักธรรมชั้นตรี นักธรรมชั้นโท นักธรรมชั้นเอก ซึ่งมีหนังสือนวโกวาทเป็นหลักสูตรเบื้องต้นสำหรับภิกษุ สามเณร ผู้บวชใหม่ได้ศึกษาเล่าเรียนมาจนตราบถึงปัจจุบัน
พระองค์ทรงจัดตั้งมหามกุฏราชวิทยาลัย สำหรับเป็นที่ศึกษาของภิกษุสามเณรและกุลบุตร เป็นการทรงริเริ่มจัดการศึกษาของภิกษุสามเณรแบบใหม่ คือ เล่าเรียนพระปริยัติธรรมประกอบกับวิชาการอื่นๆ ที่เอื้อต่อการสั่งสอนพระพุทธศาสนา และสอบด้วยวิธีเขียนซึ่งทรงริเริ่มขึ้นเป็นครั้งแรก
ภิกษุสามเณรที่สอบไล่ได้ตามหลักสูตรนี้ก็ทรงพระกรุณาโปรดตั้งเป็นเปรียญเช่นเดียวกับผู้สอบไล่ได้ในสนามหลวงตามแบบเดิมเหมือนกัน เรียกว่า “เปรียญมหามกุฎ” และได้ดำเนินการอยู่เพียง 8 ปีก็เลิกไป
ในส่วนการศึกษาของกุลบุตรนั้น พระองค์ได้ทรงจัดตั้งโรงเรียนภาษาไทยของมหามกุฏราชวิทยาลัยขึ้นตามวัดธรรมยุต เพื่อให้เป็นที่เล่าเรียนของกุลบุตร โดยใช้หลักสูตรที่พระองค์ทรงจัดขึ้นใหม่ เรียกว่า “หลักสูตรมหามกุฏ” เช่น โรงเรียนวัดบวรนิเวศ โรงเรียนวัดมกุฏ เป็นต้น
ทรงจัดตั้งโรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย เพื่อทรงดำเนินการจัดการศึกษาในมหามกุฏราชวิทยาลัยดังกล่าวมาแล้ว จำเป็นต้องใช้หนังสือและตำราเรียนเป็นจำนวนมาก จึงได้ทรงจัดตั้งโรงพิมพ์ขึ้นมา เพื่อจัดพิมพ์หนังสือและตำรับตำราต่างๆ ให้เพียงพอแก่การใช้ศึกษาของภิกษุสามเณรและกุลบุตร
จึงเรียกว่า “โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย”
ทรงออกนิตยสารธรรมจักษุ หลังจากทรงจัดตั้งสถานศึกษา คือมหามกุฏราชวิทยาลัยได้ 1 ปี ก็ทรงออกนิตยสารธรรมจักษุ เป็นนิตยสารรายเดือน สำหรับตีพิมพ์เรื่องราวทางพระพุทธศาสนา ทั้งที่เป็นคำสั่งสอนและข่าวสารต่างๆ ออกเผยแพร่แก่ประชาชน รวมทั้งข่าวเกี่ยวกับกิจการมหามกุฏราชวิทยาลัยด้วย
![]() ![]() ![]() ![]() |
เงื่อนไขอื่นๆ |
|
Tags |